วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

บทที่ 9 การสร้างงานนำเสนอแบบวิดีโอ


ประโยชน์ของงานวีดีโอ
                  ปัจจุบันงานวีดีโอได้เข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในแทบทุกวงการ นั้นเป็นเพราะต้นทุนกานผลิตที่ถูกลงและเทคนิคการตัดต่อจากโปรแกรมต่างๆ ที่รวดเร็วง่ายดาย ส่งผลให้หน่วยงานทั่วไปหันมาใช้วีดีโอเป็นสื่อทดแทนการนำเสนอในรูปแบบเดิมๆในที่นี้จาขอแนะนำประโยชน์
ของงานวีดีโอเบื้องต้นดังต่อไปนี้
แนะนำองค์กรและหน่วยงาน
การสร้างงานวีดีโอเพื่อนำสนานที่ต่างๆหรือในนำเสนอข้อมูลภายในหน่วยงาน
และองค์กรถูกนำเข้ามาใช้เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กลับผู้ฟัง และก่อให้เกิดความเข้าใจในตัวงานได้ง่ายขึ้น 
บันทึกความทรงจำ และเหตุการณ์สำคัญต่างๆ
ในอดีตเมื่อเราไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ หรือจัดงานพิเศษ เช่น งานวันเกิด งานแต่งงาน งานรับปริญญา งานเลี้ยง ของบริษัทเรานิยมเก็บภาพเหล่านั้นไว้ในรูปแบบของภาพถ่ายที่เป็นภาพนิ่งเสียเป็นส่วนใหญ่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่บันทึกความทรงจำเหล่านั้นไว้ในรูปแบบของวีดีโอ แต่ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาไปมากในปัจจุบันทำให้กล้องวีดีโอมี่ราคาต่ำลง จึงสามารถหาซื้อ
มาเป็นเจ้าของได้ไม่ยาก
รูปที่ 2.98ใช้งานวีดีโอ ถูกนำเข้ามาใช้แทนการเสนอแบบเดิมเช่น แผ่นใส หรือสไลด์หรือสไลด์
เราสามารถสร้างไตเติ้ลใส่ดนตรีประกอบพากษ์เสียงบรรยายและใส่เทคนิคพิเศษต่างๆ
ลงไปในงานวีดีโอที่ถ่ายมาโดยคลิกปุ่มไม่กี่ปุ่มเท่านั้นเอง ซึ่งเราจะได้เรียนรู้วิธีการเหล่านี้ในบท
ต่อๆไป                           
รูปที่ 2.99กล้องวีดีโอปัจจุบันราคาต่ำลงมากและสามารถเป็นเจ้าของได้ไม่ยาก
ทำสื่อการสอนเพื่อการศึกษา
คุณครูสามารถสร้างสื่อการสอนในรูปแบบวีดีโอได้เช่นสื่อการสอนสนทนาภาษาอังกฤษ คุณครูอาจสัมภาษณ์ชาวต่างชาติที่มาอยู่ในเมืองไทยหรือจัดทำเป็นวีดีโอสอนวิธีใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ เป็นต้น
รูปที่ 2.100ใช้งานวีดีโอมาช่วยในการสร้างสื่อ การสอน
นำเสนอรายงาน วิทยานิพนธ์ และงานวิจัยต่างๆ
เปลี่ยนวิธีนำเสนอรายงานจากการใช้เพียงภาพประกอบ แผ่นชาร์ต หรือแผ่นใส มานำเสนอในรูปแบบของวีดีโอก็จะทำให้ผู้ฟังบรรยายได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น และเกิดความเข้าได้ง่าย น่าสนใจกว่าการนำเสนอที่มีแต่ข้อมูลและภาพนิ่งเพียงอย่างเดียว
วีดีโอสำหรับบุคคลพิเศษ
บุคคลพิเศษในที่นี้อาจหมายถึงวิทยากรที่เราเชิญมาบรรยายผู้จัดการที่กำลังจะเกษียณอายุ เจ้าของวันเกิด คู่บ่าวสาว เพื่อเป็นการให้เกียรติและสร้างความประทับใจให้กับเจ้าของงาน และยังช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีไม่น้อย    
รูปที่ 2.101ตัวอย่างการจัดทำวีดีโอให้สำหรับงานแต่งให้กับคู่บ่าวสาว
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เรามองเห็นความสำคัญของงานวีดีโอมากขึ้น และได้รู้ว่าการทำวีดีโอนั้น ไม่ได้ลงทุนมากและยุ่งยากในการทำอย่างที่คิด
แนวคิดในการสร้างงานวีดีโอ
ก่อนที่เราจะลงมือสร้างผลงานวีดีโอสักเรื่องหนึ่งสิ่ง
ที่ไม่ควรทำก็คือการลงมือไปถ่ายวีดีโอแล้วนำมาตัดต่อเลย
โดยไม่ได้คิดให้ดีก่อนว่าจะถ่ายทำอย่างไรบ้างเพราะ
ปัญหาที่มักเกิดขึ้นเสมอก็คือ การไม่ได้ภาพตามที่ต้องการ
เนื้อหาที่ถ่ายมาไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ต้องการนำเสนอ 
ในส่วนนี้จึงขอแนะนำแนวคิดในการทำงานวีดีโออย่าง
มีประสิทธิภาพตรงตามความต้อง ไม่ต้องมาแก้ไขภายหลัง
โดยมีลำดับแนวคิดในการสร้างสรรค์งานวีดีโอเบื้องต้นดังนี้
รูปที่ 2.102แนวคิดในการสร้างงานวีดีโอ
ระบบโทรทัศน์ในปัจจุบัน
เนื่องจากงานวีโอส่วนใหญ่ที่เราตัดต่อเรียบร้อยแล้วมักจะต้องนำไปเปิดกับโทรทัศน์
เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องมีความเข้าใจเรื่องระบบของโทรทัศน์กันพอสมควร
รูปที่ 2.103ระบบโทรทัศน์ปัจจุบัน
ระบบโทรทัศน์ที่ใช้อยู่ทั่วไปในโลกนี้มีอยู่ 3 ระบบด้วยกัน ได้แก่
▪ระบบ PAL  เป็นระบบที่มีความคมชัดค่อนข้างสูง แต่การเคลื่อนไหวของภาพจะไม่ราบรื่นเท่ากับระบบอื่น ความเร็วในการแสดงผล (Frame Rate) อยู่ที่ 25 เฟรมต่อวินาที ประเทศที่ใช้ระบบนี้ได้แก่ ประเทศแถบยุโรป แอฟริกาใต้ และเอเชียบางประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย
▪ระบบ NTSC เป็นอีกระบบหนึ่งที่มีความนิยมสูง แม้จะมีความชัดสู้ระบบ PAL ไม่ได้ แต่การเคลื่อนไหวจะราบรื่นกว่า การแสดง Frame Rate อยู่ที่ 29.79 เฟรมต่อวินาที นิยมใช้ในแถบประเทศอเมริกาและประเทศญี่ปุ่น
▪ระบบ SECAM เป็นระบบที่ใช้กันอยู่ในแถบแอฟริกาเหนือ ประเทศโซนตะวันออกกลางและ
ฝรั่งเศส  การแสดง   Frame Rate  อยู่ที่ 25 เฟรมต่อวินาที เช่นกัน มีความคมชัดสูง
และการเคลื่อนไหวของภาพราบรื่น
ความละเอียดของภาพ (Resolution  )
ความละเอียดของภาพคือส่วนที่บอกว่าวีดีโอของเราที่ออกมานั้นจะมีคุณภาพ และความคมชัดมากน้อยเพียงใด ค่า Resolution  นี้จะเป็นตัวเลขแสดงขนาดความยาวต่อความกว้างของหน้าจอ ซึ่งจะมีขนาดแตกต่างกันออกไปดังต่อไปนี้
ลักษณะงาน Resolution (ความยาว x ความกว้าง)
VCD 352 x 288 (PAL) , 352 x 240 (NTSC)
SVCD 480 x 576 (PAL),  480 x 480 (NTSC)
DVD 720 x 576 (PAL), 720 x 480  (NTSC)
รูปที่ 2.104ความละเอียดของภาพ
รูปที่ 2.105เขียน Storyboard รูปที่ 2.106 เตรียมองค์ประกอบต่างๆ
รูปที่ 2.107  ตัดต่องานวีดีโอ รูปที่ 2.108ใส่เอฟเฟ็กต์ตัดต่อเสียง
รูปที่ 2.109แปลงวีดีโอ เพื่อนำไปใช้งานจริง
ขั้นตอนที่ 1 การเขียน Storyboard
สิ่งแรกที่เราควรเรียนรู้ก่อนสร้างงานวีดีโอก็คือ การเขียน Storyboard ซึ่งก็คือ การจินตนาการฉากต่างๆ ขึ้นมาก่อนที่จะไปถ่ายทำจริง สำหรับการทำภาพยนตร์ทั่วไปนั้นจะมีการเขียน Storyboard ก่อนเสมอ เพื่อจะทำให้ฉากและภาพที่มีองค์ประกอบต่างๆตรงตาม
ความต้องการมากที่สุด และเพื่อป้องกันการตกหล่นในระหว่างถ่ายทำ เพราะถ้าต้องมาถ่ายซ่อม
ทีหลังนั้นก็ไม่สะดวก
รูปที่ 2.110ลองวาด Storyboard อย่างง่ายๆ เพื่อกำหนดลำดับฉาก และมุมกล้องที่ต้องการ
ในการเขียน Storyboardของเรานั้นอาจจะใช้วิธีง่ายๆไม่จำเป็นต้องถึงขนาดวาดภาพก่อนเพียงแค่เขียนวัตถุประสงค์ของงานให้ชัดเจนว่าต้องการสื่ออะไร หรือเป็นงานประเภทไหน จากนั้น
ดูว่าเราต้องการภาพอะไรบ้าง เขียนออกมาเป็นฉากๆ เรียงลำดับ 1,2,3,4ไปเรื่อยๆ
ตัวอย่างเช่น ถ้าเรารับอาสาไปถ่ายวีดีโองานแต่งงาน เราก็ควรจะไปคุยกับเจ้าภาพงานเสียก่อนว่าจะมีกิจกรรมอะไรที่สำคัญบ้าง  ในช่วงเวลาใด จากนั้นเราก็มาสรุปว่าจะต้องถ่ายภาพบรรยากาศอะไรภายในงานบ้าง ซึ่งจะทำให้เราได้ภาพบรรยากาศครบถ้วน ตรงตามวัตถุประสงค์ทั้งหมด
ขั้นตอนที่ 2 เตรียมองค์ประกอบต่างๆที่ต้องใช้
ในการทำงานวีดีโอเราจำเป็นต้องเตรียมองค์ประกอยต่างๆไม่ว่าจะเป็นไฟล์วีดีโอ
ไฟล์เสียงดนตรีให้พร้อม เพื่อช่วยให้การทำงานของเรารวดเร็วยิ่งขึ้น
รูปที่ 2.111เตรียมวัตถุดิบโดยการลง มือถ่ายทำ
ไฟล์วีดีโอจากภาพยนตร์ สารคดีหรือ ข่าว
หากเรามีภาพยนตร์ สารคดีหรือข่าว เราสามารถนำมาใช้ตัดต่อได้โดยอาจจะต้องมีการแปลงไฟล์บ้างเช่น ถ้าเป็นภาพยนตร์ที่มาจากแผ่นวีซีดีหรือดีวีดี ก็นำมาแปลงเป็นไฟล์
ที่สามารถใช้ตัดต่อได้เสียก่อน  ซึ่งในโปรแกรม VideoStudiov.11 ก็มีฟังก์ชันช่วยในการแปลงภาพยนตร์เหล่านี้ด้วย
ส่วนสารคดีหรือข่าวที่อยู่ในโทรทัศน์ เราก็สามารถนำมาใช้ได้โดยการ
ต่อสายสัญญาณออกจากทีวีมาเข้าที่การ์ดสำหรับนำเข้าวีดีโอในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา แล้วทำการบันทึก
การถ่ายทำวีดีโอเอง 
แหล่งข้อมูลที่สำคัญที่สุดคือการไปถ่ายทำเอง เมื่อได้จัดทำ Storyboard เรียบร้อย
ก็ลงมือถ่ายทำได้เลย
การเตรียมไฟล์เสียงและการบรรยาย
องค์ประกอบต่อมาก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของเสียง เพราะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจงานวีดีโอของเราดนตรีที่ใช้ในงานวีดีโอนั้นอาจได้มาจากไฟล์ MP3
ที่เรามีอยู่ก็ได้ ส่วนเสียงบรรยายนั้นเราต้องบันทึกลงไปในคอมพิวเตอร์เอง
ขั้นตอนที่3 การตัดต่อวีดีโอ (ให้สอดคล้องกับ Storyboard)
ขั้นต่อมาก็คือการนำองค์ประกอบต่างๆ ที่เตรียมไว้มาตัดต่อเป็นวีดีโอ งานวีดีโอจะออกมาดีน่าสนใจเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับการตัดต่อเป็นสำคัญ
รูปที่ 2.112การตัดต่อวีดีโอโดยใช้โปรแกรม VideoStudio v.11
ขั้นตอนที่ 4 ใส่เอฟเฟ็กต์/ตัดต่อสียง
ก่อนที่จะจบขั้นตอนการตัดต่อ เราควรตกแต่งงานวีดีโอด้วยเทคนิคพิเศษต่างๆไม่ว่าจะเป็นการเล่นสี การใส่ข้อความ หรือเสียงดนตรี ซึ่งจะช่วยให้งานเรามีสีสัน และน่าติดตามมากขึ้น
ขั้นตอนที่ 5 แปลงวีดีโอเพื่อนำไปใช้งานจริง
ขั้นตอนสุดท้ายในการทำงานวีดีโอก็คือ การทำงานที่เราได้ทำเรียบร้อยแล้วนั้นไปใช้งาน ซึ่งในโปรแกรมVideoStudiov.11นั้น สามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น ทำเป็น วีซีดี ดีวีดี หรือ
เป็นไฟล์ WMV สำหรับนำเสนอทางอินเทอร์เน็ต
รูปที่ 2.113ผลงานที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว สามารถนำเสนอได้หลายรูปแบบ
เครื่องมือสำหรับงานตัดต่อวีดีโอ
ก่อนเริ่มลงมือนำเข้าวีดีโอเข้ามาในเครื่อง และเริ่มตัดต่อไฟล์วีดีโอด้วยโปรแกรม Ulead  VideoStudiov.11ส่วนนี้เป็นอุปกรณ์ต่างๆที่เราควรเตรียมให้พร้อมสำหรับงานตัดต่อวีดีโอ
เครื่องคอมพิวเตอร์
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมในการนำมาใช้สำหรับตัดต่อวีดีโอควรมีสเป็คเครื่องขั้นต่ำดังนี้
รูปที่ 2.114คอมพิวเตอร์
ซีพียู แนะนำ Pentium 3 ความเร็ว 700MHzขึ้นไป
แรมหรือหน่วยความจำ ขนาด 256 MB ขึ้นไป (แนะนำว่าควรใช้ที่มีขนาด 512 MB 
เป็นอย่างต่ำ เพื่อให้การตัดต่อวีดีโอทำได้รวดเร็วขึ้น)
ฮาร์ดดิสก์ 600MB สำหรับการติดตั้งโปรแกรม Ulead  VideoStudiov.11และ5 GB สำหรับ
ใช้เก็บไฟล์วีดีโอสำหรับการตัดต่อ (ขนาดของพื้นที่ว่างที่ต้องการจะขึ้นอยู่กับความยาวของวีดีโอ
ที่เราต้องการนำมาตัดต่อยิ่งยาวมาก พื้นที่ฮาร์ดดิสก์ก็ต้องมากขึ้น  เพื่อจะเพียงพอในการจัดเก็บข้อมูล)  ระบบปฏิบัติการ แนะนำให้ใช้ Windows XP หรือ Windows 2000 และเลือกสร้างระบบจัดเก็บไฟล์บนฮาร์ดดิสก์เป็น NTFS เพื่อสามารถทำงานร่วมกับไฟล์วีดีโอที่มีขนาดใหญ่เกิน 
4 GB ได้
กล้องถ่ายวีดีโอ
อุปกรณ์ชิ้นต่อมาที่เป็นหัวใจหลักของงานวีดีโอก็คือ กล้องถ่ายวีดีโอนั้นเองในอดีตกล้องถ่ายวีดีโอมีราคาหลักแสนบาทขึ้นไปแต่ปัจจุบันเทคโนโลยีได้ทำให้กล้องถ่ายวีดีโอราคาถูกลงมาเหลือราคาเริ่มต้นเพียงแค่หมื่นกว่าบาทเท่านั้นซึ่งหาซื้อได้ทั่วไป
รูปที่ 2.115กล้องวีดีโอสำหรับบันทึกภาพวีดีโอเพื่อใช้ในงานตัดต่อ
การ์ดแคปเจอร์ หรือการ์ดจับภาพวีดีโอ
เนื่องจากเราจำเป็นต้องนำภาพวีดีโอที่ถ่ายมาเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ เพื่อผ่านกระบวนการตัดต่อแต่เราไม่สามารถที่จะนำวีดีโอจากกล้องเข้ามาที่เครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรงได้ จำเป็นจะต้องมีอุปกรณ์ช่วยเป็นเสมือนสื่อกลางในการส่งถ่ายข้อมูล อุปกรณ์ตัวนั้นเราเรียกว่า การ์ดแคปเจอร์ (Capture Card)
ด้วยการ์ดแคปเจอร์ เราสามมารถแปลงวีดีโอ
จากกล้องวีดีโอเครื่องเล่นวีดีโอหรือแม้แต่
รายการทีวีมาที่คอมพิวเตอร์ได้
รูปที่ 2.116การ์ดแคปเจอร์
การ์ดแคปเจอร์ในปัจจุบันมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน  มีทั้งแบบติดตั้งภายในคอมพิวเตอร์ และแบบภายนอก หารเรามีการ์ดแคปเจอร์ก็สามารถแปลงวีดีโอมาเก็บไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่ว่า
จะเป็นภาพจากกล้องวีดีโอ จากเครื่องเล่นวีดีโอเทป หรือแม้แต่ต้องการอัดรายการโปรดของเรา
ที่ออกอากาศทางทีวีได้
โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ  
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการตัดต่อวีดีโอก็คือ โปรแกรมสำหรับตัดต่อ ปัจจุบันมีโปรแกรมสำหรับตัดต่อเป็นจำนวนมาก มีทั้งแบบมือสมัครเล่นและแบบมืออาชีพเพื่อรองรับการทำงาน
ที่หลากหลายมากขึ้นซึ่งจะขอยกตัวอย่างบางโปรแกรมดังนี้
 โปรแกรมPinnacle Studio
โปรแกรม Adobe Premiere Pro
โปรแกรม Sony Vegas
โปรแกรม Ulead VideoStudio
รูปที่ 2.117 โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ
ไดร์ฟสำหรับเขียนแผ่นซีดี/ดีวีดี
อุปกรณ์ชิ้นต่อมาที่เราจำเป็นต้องมี หากต้องการสร้างวีดีโอให้อยู่ในรูปแบบของวีซีดีหรือ
ดีวีดีนั่นก็คือ ไดร์ฟสำหรับเขียนซีดี หรือไดร์ฟสำหรับเขียนดีวีดี ซึ่งปัจจุบันไดร์ฟทั้งสองประเภท
มีราคาถูกลงมาก
คุณสมบัติต่างๆ ที่เราควรทราบเกี่ยวกับงานวีดีโอ
นอกจากเรื่องอุปกรณ์แล้ว สิ่งสำคัญลำดับต่อมาที่เราควรสร้างเพื่อเตรียมสร้างงาน
ด้านวีดีโอก็คือคุณสมบัติต่างๆเกี่ยวกับงานด้านนี้ เพื่อจะทำให้เราเกิดความเข้าใจ และสามารถเลือกใช้งานตามความเหมาะสมได้มากที่สุด
ไฟล์วีดีโอประเภทต่างๆ
ไฟล์วีดีโอที่ใช้งานอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นมีอยู่หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับมาตรฐานการบีบอัดของวีดีโอประเภทนั้นซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีคุณสมบัติหรือความละเอียดของภาพต่างๆ 
กันไป นอกจากนั้นเมื่อเราสร้างงานวิดีโอเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการแปลงงานออกมาให้เป็นไฟล์วีดีโอ ซึ่งหากเราทำความเข้าใจ กับประเภทของไฟล์วีดีโอต่างๆได้ดี ก็จะสามารถเลือกไฟล์วีดีโอที่ต้องการนำเสนอในงานต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมซึ่งโดยทั่วไป มีดังต่อไปนี้
AVI(Audio Video Interactive)
เป็นไฟล์วีดีโอที่เป็นมาตรฐานของคอมพิวเตอร์ทั่วไป (ในเครื่องแมคอินทอช จะมีไฟล์วีดีโอมาตรฐานเป็น MOV)ซึ่งไฟล์วีดีโอแบบ AVI นี้จะมีการบีบอัดข้อมูลทำให้ภาพและเสียงคมชัดแต่ไฟล์วีดีโอจะมีขนาดใหญ่มาก และขนาดไฟล์วีดีโอจะขึ้นอยู่กับการกำหนดของเรา หรือเครื่องมือในการจับภาพวีดีโอ
DV (Digital Video)
ในกรณีที่เราใช้กล้องดิจิตอลวีดีโอ Digital 8 หรือ MiniDV และจับภาพวีดีโอเข้ามาซึ่งไฟล์ DV นี้จะมีนามสกุลเป็น AVI เช่นเดียวกัน แต่จะมีการกำหนดของขนาด Resolution เท่ากับ 720x576 และค่า Bit rate เท่ากับ 36000 KB/s ซึ่งนับว่ามีขนาดใหญ่มาก เหมาะสำหรับเก็บเป็นไฟล์ต้นฉบับมากกว่า เพราะจะทำให้ได้ภาพที่คมชัดมาสร้างเป็นงานในรูปแบบอื่นๆ เช่น วีซีดี หรือดีวีดี เป็นต้น
MPEG
เป็น ฟอร์แม็ตไฟล์วีดีโอที่ถูกบีบอัด ซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีขนาดเล็ก และมีคุณภาพหลากลายตั้งแต่คมชัดที่สุด ไปจนถึงความละเอียดในระดับที่พอใช้ โดยมีหลายรูปแบบดังนี้
MPEG 1 เป็นไฟล์วีดีโอที่เหมาะสำหรับใช้เป็นไฟล์พื้นฐานที่จะนำไปสร้างเป็นแผ่น
  ภาพยนตร์วีซีดี มีความละเอียดของภาพปานกลาง
MPEG 2 เป็นไฟล์วีดีโอที่มีคุณภาพสูง มีความคมชัดของภาพในระดับดี เหมาะสำหรับ
ไปใช้เป็นต้นฉบับสร้างแผ่นภาพยนตร์ดีวีดี เพราะภาพคมชัดสูงสุดเมื่อเทียบกับไฟล์
 ตระกูล MPEG ด้วยกัน
MPEG 4 เป็นไฟล์ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากมีคุณภาพการแสดงผล
ใกล้เคียงกับดีวีดี แต่มีขนาดไฟล์เล็ก  เหมาะสำหรับนำไปเผยแพร่บนอินเตอร์เน็ต
  ซึ่งปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ส่วนใหญ่จะรู้จักกันในชื่อของ DivX 
  หรือ XviD
WVM (Windows Media Video)
เป็นไฟล์วีดีโอที่ทางบริษัทไมโครซอฟท์ปรับขึ้น เพื่อใช้ร่วมกับระบบปฏิบัติการ Windows โดยจะให้มาเป็นไฟล์วีดีโอมาตรฐานที่ใช้ร่วมกับโปรแกรม WindowsMedia Player ซึ่งปัจจุบัน กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น
RM (Streaming RealVideo)
RM ที่ได้รับการพัฒนาจากบริษัท Real  Networkเป็นรูปแบบไฟล์วีดีโอที่ใช้เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต หรือที่เรียกว่า Streaming ซึ่งจะมีความคมชัดของภาพและเสียงต่ำ เพื่อให้เหมาะสำหรับ การเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต
MOV
MOV เป็นไฟล์วีดีโอที่ใช้ร่วมกับโปรแกรม Quick Time ผลิตเพื่อใช้กับเครื่อง Apple เป็นหลักแต่ก็สามารถทำงานร่วมกับ Windows ได้ด้วย
DivX 
เป็นรูปแบบการบีบอัดวีดีโอที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากไฟล์วีดีโอ 
ที่ได้มีขนาดเล็ก และคุณภาพที่ได้อยู่ในระดับดีมาก ใกล้เคียงกับภาพยนตร์ จากแผ่นดีวีดี โดย DivX  เป็นรูปแบบวีดีโอที่ได้มาจากการนำไฟล์วีดีโอดีวีดีมาบีบอัด ซึ่งเราเรียกไฟล์ฟอร์แม็ตที่นำมาทำเป็น DivX  ว่าMPEG 4 นั่นเอง แต่ว่าส่วนใหญ่ยังสามารถเล่นได้บนคอมพิวเตอร์เท่านั้น ยังมีเครื่องเล่น
วีซีดี/ดีวีดี ที่รองรับไฟล์นี้มามากนัก
XviD
              มีรูปแบบการพัฒนาที่คล้ายคลึงกับ DivX แตกต่างกันที่ XviD เป็นแบบ Open Source หรือเป็นของฟรีนั่นเอง สามารถนำไปพัฒนาเพิ่มเติมต่อได้ไฟล์วีดีโอทั้งแบบ DivX และ XviD นั้นจะมีนามสกุล .AVI โดยการเล่นไฟล์วีดีโอบนเครื่อง
มาตรฐานวีดีโอประเภทต่างๆ
หลังตัดต่อ/ปรับไฟล์วีดีโอเรียบร้อยแล้ว วีดีโอจะถูกปรับแต่งและสร้างออกมาในรูปแบบมาตรฐานต่างๆดังต่อไปนี้ ซึ่งเป็นมาตรฐานวีดีโอที่สามารถเปิดเล่นได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์ และเครื่องเล่นวีซีดี/ดีวีดีทั่วไป
VCD
เป็นไฟล์วีดีโอที่ถูกจัดเก็บในมาตรฐาน MPEG -1 มีค่าResolution และ Bit rate ไม่สูงนัก ทำให้ไฟล์มีขนาดเล็กสามารถบรรจุภาพยนตร์ 1 เรื่องลงไปใน
แผ่นซีดี 2 แผ่นได้เป็นมาตรฐานที่บ้านเราก็ยังคงใช้กันอยู่ในปัจจุบัน แต่ในอนาคตไม่ไกลนี้ก็อาจจะไม่ใช้
แล้วก็ได้ เพราะจะถูกแทนที่ด้วยระบบดีวีดี
DVD เป็นไฟล์วีดีโอที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ   เพราะราคาแผ่นและไดร์ฟเขียนดีวีดีก็ถูกลงมามากแล้วมีความคมชัดกว่าวีซีดี และSVCD  เพราะแม้จะใช้มาตรฐานMPEG -2 เช่นเดียวกับ SVCD แต่มีค่า Resolution , Bit rate และ Fps สูงกว่า แถมขนาดของแผ่นก็มีความจุถึง4.7 GB ทำให้ สามารถเก็บภาพยนตร์ที่มีมาตรฐาน  MPEG –2ได้ทั้งเรื่อง
SVCD  (Super Video Compact Disc)
เป็นมาตรฐานใหม่ของการเล่นไฟล์วีดีโอที่เพิ่มมาจากวีซีดี หรือรูปแบบมาตรฐาน MPEG -1 แต่เป็นมาตรฐานในรูปแบบของ MPEG -2 ซึ่งส่วนเพิ่มเติมนี้เอง ที่ทำให้ไฟล์ มีคุณภาพสูงกว่าวีซีดี เพราะมีค่าResolution , Bit rate และ Fps สูงกว่าวีซีดี ทำให้ไฟล์ภาพยนตร์ 1 เรื่องต้องใช้แผ่นซีดีถึง 3 แผ่น และที่สำคัญก็คือ SVCD  ไม่ได้รับการยอมรับมากนัก เพราะถูกตีตลาดด้วยระบบดีวีดีนั่นเอง (แต่ในกรณีที่เราไม่มีเครื่องเขียนดีวีดี แต่ต้องการงานที่มีคุณภาพสูงก็สามารถใช้เครื่องซีดีเขียนเป็นระบบ SVCD ได้
ระบบต่างๆ อัตรา Frame Rate (fps)
ฟิล์มภาพยนตร์ทั่วไป 24/s.
โทรทัศน์ระบบ PAL 25/s.
โทรทัศน์ระบบ NTSC 29.79/s.
รูปที่ 2.118 มาตรฐานวีดีโอประเภทต่างๆ
ความเร็วในการแสดงภาพ (Frame Rate)
ความเร็วในการแสดงภาพที่เราใช้ในภาพยนตร์นั้น จะมีหน่วยเป็นภาพต่อวินาที ซึ่งเราเรียกว่า Frame Rate โดยความเร็วในการแสดงภาพที่จะทำให้เกิดภาพเคลื่อนไหวนั้นอย่างน้อยจะต้องมี Frame Rateประมาณ 7-10 ภาพต่อวินาที (fps : Frame per Second)ซึ่งภาพยนตร์การ์ตูนสมัยก่อนจะใช้ต่อเนื่องแสดงการเคลื่อนไหวอยู่ประมาณ 12 เฟรมต่อวินาที ปัจจุบันการแสดงภาพ
ที่ใช้เป็นภาพยนตร์จะมีFrame Rate อยู่ที่ประมาณ 24 เฟรมต่อวินาที นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับการกำหนดในแต่ละระบบที่ได้กล่าวถึงข้างต้นด้วย
รูปที่ 2.119 ความเร็วในการแสดงภาพ
อัตราการส่งข้อมูล (Data Rate)
อัตราการส่งข้อมูลเป็นความเร็วในการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ภายใน 1 วินาที (เช่นเดียวกับคำว่า  Bit Rate  ซึ่งเป็นความไวในการส่งข้อมูลเช่นกัน) การกำหนด Data Rate นี้
หากเรากำหนดให้มีขนาดใหญ่ก็จะทำให้คุณภาพของภาพดีไปด้วย แต่ข้อเสียก็คือจะกินเนื้อที่
ในฮาร์ดดิสก์มากตามไปด้วย (ในกรณีที่เรามีเนื้อที่มากพอก็คงไม่มีปัญหา เมื่อทำงานเสร็จแล้ว
ก็สามารถลบทิ้งภายหลังได้)
การบีบอัดข้อมูล(Compression)
ไฟล์วีดีโอเป็นการแสดงภาพที่มีความต่อเนื่องจำนวนมากอย่างรวดเร็ว ทำให้การเก็บหรือการบันทึกไฟล์วิดีโอ  ลงในฮาร์ดดิสก์ก็ต้องใช้พื้นที่จำนวนมากด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องมีการ
บีบอัดข้อมูล (Compression)เพื่อทำให้ขนาดของไฟล์เล็กลงหรือเรียกว่า “ระบบเข้ารหัส (Codec)”ไฟล์วีดีโอที่มีการเข้ารหัสที่เราได้ยินบ่อยๆก็คือ MPEG –1, MPEG –2, MPEG –4หรือDivXเป็นต้น
การเข้ารหัสให้กับภาพยนตร์นี้ สามารถทำได้โดยใช้ฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์ตัวอย่างของฮาร์ดแวร์เช่น การ์ดแคปเจอร์ทั่วไป ซึ่งมีฟังก์ชันในการเข้ารหัสอยู่แล้ว (บีบอัดข้อมูลขณะนำไฟล์วีดีโอเข้ามาในคอมพิวเตอร์)ซอฟแวร์จะเป็นโปรแกรมที่ใช้บีบอัดไฟล์ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์แล้ว 
ได้ Panasonic Encoder, Window Media  Encoder ,  MpegDJ  Encoder , Xing Mpeg  Encoder 
เป็นต้นซึ่งเราส่ามารถดาวน์โหลดได้ตามเว็บไซต์ของโปรแกรมต่างๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น